สุนัขไอแห้งวิธีรักษา
สารบัญ
การไอเหมือนมีอะไรติดคอ เป็นอาการหนึ่งที่บ่งบอกว่าน้องหมาอาจกำลังมีเสมหะอยู่ จึงต้องไอแล้วขากออกมาเสมหะของสุนัขเกิดได้จากหลายสาเหตุ มีประโยชน์เพื่อช่วยปกป้องสิ่งแปลกปลอมและเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย แต่ถ้ามีมากเกินไปก็ทำให้สุนัขหายใจลำบากได้ การรับมือกับการไอแบบมีเสมหะมีหลายวิธีเช่นกัน ทั้งการเคาะปอด (ตบอก) การให้สูดละอองไอน้ำ การพ่นยา และการป้อนยา ซึ่งอาจต้องให้หลายวิธีร่วมกัน
การไอเหมือนมีอะไรติดคอ
เป็นอาการหนึ่งที่พบได้บ่อย แต่เจ้าของส่วนใหญ่มักจะสับสนกับอาการอาเจียน และไม่ทราบว่าสุนัขกำลังไออยู่ เลยอาจคิดไปว่าต้องมีกระดูกหรือก้างติดคอน้องหมาอยู่แน่ ๆ ทั้งที่ความจริงแล้ว สุนัขกำลังไอมีเสมหะอยู่ต่างหาก เวลาน้องหมามีเสมหะในคอ พอเวลาที่ไอแล้ว ก็มักจะทำท่าขาก บางรายก็เล่นใหญ่ ขากแรงปานจะอาเจียนอะไรออกมา แต่กลับไม่มีอะไรออกมาให้เห็น แบบนี้ก็อาจทำให้เจ้าของถึงกับตกใจได้เลย
การขากเสมหะกับการอาเจียนของสุนัขนั้น ถ้าคนที่แยกอาการไม่ออก มองเผิน ๆ แล้วก็อาจจะคล้ายกัน แต่ความจริงแล้วทั้งสองอาการนี้ มีสาเหตุและตำแหน่งรอยโรคแตกต่างกัน อาเจียนนั้นมักเกี่ยวข้องกับทางเดินอาหาร ส่วนการขากเสมหะนั้นมักเกี่ยวข้องกับทางเดินหายใจ เสมหะเกิดจากการระคายเคืองของเยื่อบุทางเดินหายใจ ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของท่อลม หลอดลม หรือถุงลมในปอด เวลาที่น้องหมาหายใจเอาสิ่งแปลกปลอมหรือเชื้อโรคเข้าไป ร่างกายจึงมีการสร้างเสมหะออกมาเพื่อดักจับไม่ให้เข้าสู่ร่างกาย จากนั้นจะมีการไอเพื่อขับเอาเสมหะ (expectoration) เหล่านั้นออกมาทางปาก เราเรียกการไอลักษณะนี้ว่า “ไอแบบมีเสมหะ (Productive cough)” แต่ทว่าเสมหะที่ร่างกายน้องหมาสร้างขึ้นมานี้ มีความเหนียวแน่นพอสมควร ทำให้ขับออกได้ยาก จนบางครั้งเราจึงเห็นว่า น้องหมาไอแล้วทำท่าขากเสมหะจนตัวโก่งคล้ายกับน้องหมากำลังอาเจียนเลย
สาเหตุที่ทำให้สุนัขไอแบบมีเสมหะ
สำหรับโรคที่ทำให้น้องหมามีเสมหะได้นั้น ก็มีอยู่หลายสาเหตุ ทั้งการระคายเคืองจากการสูดดมฝุ่น ควัน สารพิษหรือบุหรี่ที่เจ้าของสูบ เวลาที่เกิดการระคายเคืองร่างกายจะสร้างเมือกหรือเสมหะมาเคลือบเยื่อบุผิวทางเดินหายใจ เพื่อป้องกันอันตรายพร้อมทั้งคอยดักจับฝุ่นควันเหล่านั้นไม่ให้ลงไปยังปอด แต่ถ้าสร้างเสมหะขึ้นมามากเกินไป ก็อาจเกิดการรวมตัวจนเหนียวแน่น ยากที่จะขับออกมาได้ และอาจเป็นตัวที่ไปขัดขวางทางเดินหายใจ ทำให้หายใจลำบากตามมาได้ด้วย
นอกจากนี้พวกเชื้อโรคต่าง ๆ หรือแม้กระทั้งสารก่อภูมิแพ้ ก็ยังเป็นตัวกระตุ้นให้ร่างกายสร้างเสมหะออกมาได้เช่นกัน เมื่อมีเชื้อโรคหรือสารก่อภูมิแพ้เข้าสู่ทางเดินหายใจ ก็จะทำให้เกิดการอักเสบขึ้นมาได้ พื้นผิวของทางเดินหายใจจะเกิดการหนาตัวขึ้น และมีการสร้างเสมหะเพิ่มขึ้น โดยเชื้อโรคเหล่านี้ก็อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคต่าง ๆ ตามมาได้ อย่างโรคที่พบได้บ่อยในสุนัข ได้แก่ โรคหวัด หรือโรคหลอดลมอักเสบติดต่อในสุนัข โรคหลอดลมอักเสบเรื้อรัง โรคปอดอักเสบจากการติดเชื้อ โรคปอดอักเสบจากการสำลักอาหารหรือสิ่งแปลกปลอม เป็นต้น
โรคหลอดลมฝอยอักเสบเรื้อรัง (Chronic bronchitis)
เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้สุนัขไอเรื้อรัง สุนัขจะมีอาการไอต่อเนื่องเป็นเวลามากกว่า 2 เดือน โดยอาการไอมักเกิดขึ้นตลอดเวลา ไม่มีช่วงเวลาที่เกิดอาการชัดเจน สาเหตุของหลอดลมฝอยอักเสบเรื้อรัง เกิดจากการอักเสบที่เกิดขึ้นต่อเนื่องเป็นเวลานานในส่วนของหลอดลมฝอยส่วนล่าง ทำให้เกิดการสะสมของเสมหะและสิ่งคัดหลั่ง ซึ่งจะยิ่งกระตุ้นให้เกิดอาการไอมากขึ้น ส่งผลต่อการทำงานของปอดและท้ายที่สุดอาจกระตุ้นให้เกิดการยุบตัวของหลอดลมฝอยตามมา โรคนี้พบได้มากในสุนัขกลางวัยถึงแก่ และในสุนัขพันธุ์เล็ก พบได้น้อยในสุนัขพันธุ์ใหญ่ พบได้มากในกลุ่มสุนัขที่สัมผัสปัจจัยที่ส่งเสริมให้เกิดการอักเสบมากขึ้น เช่น ควันบุหรี่ น้ำหอม ฝุ่น ควัน มลพิษทางอากาศ หรือสารที่ก่อให้เกิดความระคายเคืองในอากาศ ส่วนมากสุนัขที่เป็นโรคนี้มักไม่แสดงอาการป่วยทางร่างกายอื่น มีเพียงอาการไอต่อเนื่อง อาจพบการเต้นไม่เป็นจังหวะของหัวใจจากอิทธิพลของการหายใจ (respiratory arrhythmia) เมื่อคลำบริเวณลำคอสุนัขมักแสดงอาการไอ สุนัขบางตัวอาจมีเสียงเปลี่ยน หรือเสียงแหบเมื่อเห่า บางตัวอาจมีอาการเป็นลมภายหลังที่เกิดอาการไอ และอาจแสดงอาการเหนื่อยเมื่อทำการทดสอบโดยการเดินในระยะเวลา 6 นาที (6- minutes walk test)
การวินิจฉัย
สามารถทำได้โดยการตัดโรคอื่น ๆ ที่ทำให้สุนัขไอเรื้อรัง เช่น โรคหลอดลมตีบ เมื่อทำการถ่ายภาพรังสีจะพบผนังหลอดลมฝอยมีลักษณะเป็นฝ้าขาวชัดเจนขึ้น คล้ายรูปโดนัท (donut sign) ในภาพตัดขวางของหลอดลมฝอย และคล้ายทางรถไฟ (tramlines) ในภาพตามแนวยาวของหลอดลมฝอย โดยรายละเอียดความผิดปกติดังกล่าวจะสามารถเห็นได้ชัดเจนมากขึ้นจากการทำ CT scan การส่องกล้อง (endoscopy) อาจพบผนังหลอดลมฝอยที่มีลักษณะขรุขระ หรือหนาตัวขึ้น อาจพบผนังเยื่อบุที่มีลักษณะบวมแดง และการสะสมของสิ่งคัดหลั่ง ในบางกรณีอาจพบการยุบตัวของหลอดลมฝอยในช่วงหายใจออก เมื่อทำการเก็บตัวอย่างเซลล์จากการทำ bronchoalveolar lavage จะพบเซลล์อักเสบชนิดนิวโทรฟิล ร่วมกับสารคัดหลั่งปริมาณมาก ในบางกรณีอาจพบการติดเชื้อแบคทีเรียร่วมด้วย
การรักษา
มีวัตถุประสงค์หลัก เพื่อลดการอักเสบที่เกิดขึ้น และลดอาการไอให้น้อยลง สามารถทำได้โดยการลดปัจจัยโน้มนำ คือ สารที่ก่อให้เกิดความระคายเคืองในอากาศต่าง ๆ เช่น ฝุ่น ควัน ควบคุมน้ำหนัก ลดกิจกรรมที่กระตุ้นให้สุนัขเห่า และใช้สายรัดอกแทนปลอกคอ
การรักษาทางยา
สามารถทำได้โดยการให้ยาลดการอักเสบกลุ่มสเตียรอยด์ เช่น prednisolone ขนาด 1-2 มิลลิกรัม/กิโลกรัม/วัน ในรูปแบบการกิน หรืออาจให้ในรูปแบบพ่นทางจมูก ยาขยายหลอดลม เช่น theophylline ซึ่งนอกจากฤทธิ์ในการขยายหลอดลมแล้ว ยังมีฤทธิ์ช่วยลดความล้าของกล้ามเนื้อกระบังลม ช่วยเพิ่มการระบายสิ่งคัดหลัง (mucocillary clearance) และช่วยเสริมฤทธิ์ยากลุ่มสเตียรอยด์ terbutaline เป็นยาขยายหลอดลมที่ให้ผลในการรักษาในสุนัขเช่นกัน แต่อาจมีผลข้างเคียงทำให้เกิดอาการกระวนกระวายในสุนัขบางตัว นอกจากนั้นอาจพิจารณาให้ยาปฏิชีวนะในสุนัขบางตัวที่คาดว่ามีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน กลุ่มยาที่นิยมให้ ได้แก่ doxycycline azithromycin และ fluoroquinolones ส่วนในกรณีที่มีการไอมากอาจให้ยากลุ่มกดอาการไอร่วมด้วย เช่น codeine
โรคหลอดลมตีบ (tracheal collapse)
พบได้มากในสุนัขกลางวัย โดยเฉพาะในสุนัขพันธุ์เล็ก เช่น ยอร์คเชีย เทอร์เรีย พุดเดิ้ล ปั๊ก มอลทิส ชิวาว่า และปอมเมอเรเนียน เป็นต้น ปัจจุบันไม่พบว่าเพศใดจะมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคมากกว่า สาเหตุของโรคเกิดจากการเสื่อมของกระดูกอ่อนรอบหลอดลม ส่งผลให้เกิดการยุบตัวของผนังทางด้านบนของหลอดลม ปัจจัยที่ส่งเสริมให้สุนัขแสดงอาการทางคลินิก คือสารที่ก่อให้เกิดความระคายเคืองในอากาศ โรคหลอดลมฝอยอักเสบเรื้อรัง อัมพาตกล่องเสียง การติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ ความอ้วน และการสอดท่อหลอดลม เพื่อการวางยาสลบหรือช่วยหายใจ
อาการแสดงทางคลินิกที่พบ ได้แก่ อาการที่สุนัขไอเรื้อรัง สุนัขไอแห้ง กล่าวคือมีลักษณะไอแห้ง เสียงดัง คล้ายเสียงร้องของห่าน (goose honking) อาการไอเกิดขึ้นต่อเนื่องเป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือน สุนัขบางตัวอาจแสดงอาการหายใจลำบากเฉียบพลัน จากปัจจัยโน้มนำ เช่น ความร้อน การตื่นเต้น ความเครียด โรคระบบทางเดินหายใจอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นร่วมกัน ความอ้วน สุนัขอาจแสดงอาการหายใจลำบากในช่วงหายใจเข้า เนื่องจากการยุบตัวของหลอดลมนอกช่องอก (extrathoracic trachea) และ อาการหายใจลำบากในช่วงหายใจออก เนื่องจากการยุบตัวของหลอดลมในช่องอก (intrathoracic trachea) สุนัขอาจมีเสียงหายใจดังคล้ายเสียงกรนหรือเสียงหวีด (wheeze) หลอดลมมีความไวต่อสิ่งกระตุ้น จึงมักแสดงอาการไอเมื่อคลำ การวินิจฉัย สามารถทำได้โดยการถ่ายภาพรังสี อย่างไรก็ตาม
การวินิจฉัย
โรคหลอดลมตีบในสุนัขโดยภาพถ่ายรังสีมีข้อจำกัด เนื่องจากการยุบตัวของหลอดลมจะขึ้นอยู่กับช่วงการหายใจ จึงทำให้บางครั้งการคาดคะเนขนาดของหลอดลมอาจคลาดเคลื่อน ซึ่งอาจส่งผลต่อการวินิจฉัยและการบอกความรุนแรงของโรค อย่างไรก็ตามการถ่ายภาพรังสีอาจให้ประโยชน์ในการดูโรคหรือความผิดปกติอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นที่ปอดหรือหัวใจได้ การถ่ายภาพรังสีแบบเคลื่อนไหว (fluoroscopy) จึงเป็นวิธีการที่ดีกว่า ที่สามารถช่วยให้เห็นขนาดของหลอดลมในช่วงต่าง ๆ ของการหายใจ โดยไม่จำเป็นต้องทำการสลบสุนัขทั้งตัว อาจใช้เพียงการให้ยาซึม อย่างไรก็ตามวิธีการนี้จะทำให้เห็นเพียงเงาของหลอดลมเป็นภาพ 2 มิติ ส่วนการส่องกล้องจะช่วยในการวินิจฉัยความผิดปกติของทั้งหลอดลมและหลอดลมฝอยได้ รวมทั้งสามารถใช้บอกความรุนแรงของโรค ตำแหน่งที่เกิดการยุบตัว รอยโรคที่เกิดขึ้นภายในหลอดลม อย่างไรก็ตามการตรวจด้วยวิธีนี้มีข้อจำกัดเนื่องจากต้องทำภายใต้การวางยาสลบทั้งตัว ลักษณะการหายใจจึงเป็นการหายใจภายใต้อิทธิพลของยาสลบ
การรักษา
ในกรณีที่อาการหายใจลำบากรุนแรง ให้ทำการพักสัตว์ให้อยู่ในสภาวะคงที่ก่อนที่จะทำการตรวจวินิจฉัย โดยการให้ออกซิเจน ลดความเครียด ลดอุณหภูมิในสิ่งแวดล้อม สงบสัตว์โดยการให้ยาซึม เช่น ACE promazine ขนาด 0.01-0.03 มิลลิกรัม/กิโลกรัม เข้าทางหลอดเลือดดำหรือเข้ากล้ามเนื้อ หรือ butorphanol 0.05-0.1 มิลลิกรัม/กิโลกรัม เข้าทางหลอดเลือดดำหรือเข้ากล้ามเนื้อ
การรักษาทางยา
มีเป้าหมายเพื่อตัดวงจรการอักเสบ สามารถทำการจัดการโดย ควบคุมน้ำหนัก ลดโอกาสสัมผัสสารที่ทำให้เกิดความระคายเคืองทางอากาศ ใช้สายรัดอกแทนปลอกคอ จัดการอาการป่วยอื่น ๆ ที่เป็นร่วมกัน เช่น ภาวะหัวใจล้มเหลว การติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ รวมทั้งรักษาโรคของทางเดินหายใจส่วนต้นอื่น ๆ เช่น กลุ่มอาการระบบทางเดินหายใจส่วนต้นในสุนัขพันธุ์หน้าสั้น
การจัดการทางยา
สามารถทำได้โดยให้ยาแก้ไอ เช่น Lomotil (diphenoxylate/atropine) 0.2-0.5 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ทุก 12 ชม. Hydroxycordone 0.22 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ทุก 6-12 ชม. Codeine 0.5-2 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ทุก 12 ชั่วโมง Butorphanol 0.5-1 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ทุก 6-12 ชั่วโมง ให้สเตียรอยด์เพื่อลดการอักเสบ เช่น Prednisolone 0.5 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ทุก 12 ชั่วโมง โดยการกิน หรือ fluticasone 125-250 ไมโครกรัม ด้วยการพ่น ให้ยาขยายหลอดลมเช่น theophylline หรือ terbutaline และอาจพิจารณาให้ยาปฏิชีวนะ ในกรณีที่สงสัยว่ามีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน อาจพิจารณาทำการผ่าตัด หรือใส่ stent เพื่อช่วยขยายขนาดหลอดลม โดยเฉพาะในกรณีที่มีการตีบของหลอดลมค่อนข้างมาก
การติดพยาธิหนอนหัวใจ (Heartworm infestation)
เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้สุนัขไอเรื้อรังได้ จากการที่พยาธิหนอนหัวใจกระตุ้นให้เกิดกระบวนการอักเสบที่ปอด พยาธิหนอนหัวใจติดต่อโดยการที่สุนัขได้รับตัวอ่อนระยะติดโรค (infective stage) หรือ L3 จากการโดนยุงกัด วิธีการวินิจฉัยสามารถทำได้โดยการใช้ชุดทดสอบแอนติเจน เพื่อตรวจแอนติเจนจากพยาธิเพศเมียตัวเต็มวัย และสามารถวินิจฉัยรอยโรคที่ปอดได้โดยการถ่ายภาพรังสี ในกรณีที่มีการติดพยาธิหนอนหัวใจปริมาณมาก อาจทำให้เกิดการอุดตันของพยาธิในห้องหัวใจ หรืออาจทำให้เกิดภาวะหัวใจล้มเหลวตามมาได้
เนื่องจากสุนัขทุกตัวมีความเสี่ยงในการติดพยาธิหนอนหัวใจ จึงควรทำการป้องกันการติดพยาธิ โดยการให้ยากลุ่ม Macrocyclic lactones Ivermectin, Selamectin, Milbemycin และ Moxidectin เป็นต้น โดยควรให้ยาอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอตามคำแนะนำของผู้ผลิต เพื่อป้องกันการดื้อยาของสุนัขและความล้มเหลวในการป้องกันการติดพยาธิ และควรทำการตรวจแอนติเจนพยาธิหนอนหัวใจด้วยชุดทดสอบเป็นประจำทุกปี
จากข้อมูลข้างต้นจะเห็นได้ว่า การที่สุนัขไอเรื้อรังหรือสุนัขไอแห้งนั้นไม่ได้มีสาเหตุมาจากโรคหัวใจในสุนัขเพียงอย่างเดียว แต่ยังสามารถเกิดจากสาเหตุอื่น ๆ ได้ด้วย หรือหากสุนัขของท่านมีอาการไอ แต่ไม่ได้มีอาการป่วยทางร่างกายอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น สุนัขเบื่ออาหาร ซึม แม้อาการไอของสุนัขอาจดูไม่ร้ายแรง แต่สุนัขก็ควรได้รับการตรวจวินิจฉัยโดยสัตวแพทย์ เพื่อให้ได้รับการจัดการที่ถูกต้องเหมาะสม เพื่อลดความรุนแรงของโรค หรือในบางกรณีที่สุนัขไอเพราะเกิดจากสาเหตุต่าง ๆ ข้างต้น เช่น การติดพยาธิหนอนหัวใจ หากรักษาตั้งแต่เริ่มแรกจะสามารถทำให้สุนัขหายขาดจากอาการป่วยได้
การรักษา
การติดพยาธิหนอนหัวใจ สามารถทำได้โดยการใช้ยาฆ่าพยาธิตัวเต็มวัย คือ Melarsomine dihydrochloride ร่วมกับการใช้ยากลุ่ม macrocyclic lactones เช่น Ivermectin, Selamectin, Milbemycin และ Moxidectin เป็นต้น ในกรณีที่มีปัญหาปอดอักเสบสามารถให้ยากลุ่มสเตียรอยด์เพื่อลดการอักเสบ โดยให้ยา Prednisolone 0.5-1 มิลลิกรัม/กิโลกรัมต่อวัน เป็นเวลา 2 สัปดาห์ และค่อย ๆ ลดขนาดยาลง เมื่ออาการดีขึ้น ในกรณีที่สุนัขมีอาการเนื่องจากภาวะหัวใจล้มเหลว จำเป็นต้องได้รับยาเพื่อควบคุมภาวะหัวใจล้มเหลวที่เกิดขึ้น อาจพิจารณาทำการรักษาแบบทางเลือกในกรณีที่ไม่สามารถให้ยา Melarsomine dihydrochloride ในการกำจัดพยาธิตัวเต็มวัยได้ โดยการให้ยา Doxycycline 10 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ทุก 12 ชั่วโมง เพื่อกำจัดแบคทีเรีย Wolbachia ที่อาศัยอยู่กับพยาธิแบบพึ่งพา (symbiosis) ร่วมกับการให้ยา Ivermectin หรือ Moxidectin/Imidaclopid เดือนละ 1 ครั้ง เพื่อชะลอการเจริญเติบโตของพยาธิตัวเต็มวัย และทำให้พยาธิเสียชีวิตเร็วขึ้น
เนื่องจากสุนัขทุกตัวมีความเสี่ยงในการติดพยาธิหนอนหัวใจ จึงควรทำการป้องกันการติดพยาธิ โดยการให้ยากลุ่ม Macrocyclic lactones Ivermectin, Selamectin, Milbemycin และ Moxidectin เป็นต้น โดยควรทำการให้ยาอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอตามคำแนะนำของผู้ผลิต เพื่อป้องกันการดื้อยาและความล้มเหลวในการป้องกันในการติดพยาธิ และควรทำการตรวจแอนติเจนพยาธิหนอนหัวใจด้วยชุดทดสอบเป็นประจำทุกปี
การรับมือกับอาการไอแบบมีเสมหะ
โดยธรรมชาติร่างกายมีกลไกในการขับเสมหะอยู่แล้วนั่นก็คือ “การไอ” เพื่อขับออกมาทางปากหรือกลืนลงท้องไป แต่บางครั้งเสมหะนั้นมีจำนวนมากและเหนียวข้นจนยากที่จะขับออกมาได้เอง หรืออยู๋ในส่วนลึก ๆ ไม่สามารถออกมาได้โดยง่าย จะต้องมีวิธีการช่วยเหลือสุนัขครับ
1. การเคาะปอดหรือการตบอก (coupage)
การเคาะปอดเป็นการช่วยทำให้เสมหะที่จับกันเหนียวแน่นเกิดการคลายตัวจากแรงสั่นสะเทือน อีกทั้งยังเป็นการช่วยกระตุ้นให้สุนัขเกิดการไอเพื่อขับเสมหะเหล่านั้นออกมาก วิธีการช่วยเคาะปอดสุนัข เจ้าของสามารถทำได้เองโดย การจัดท่าให้สุนัขยืนหรือนั่งที่ตักหรือข้างตัวเรา แต่ถ้าเป็นสุนัขตัวใหญ่เราอาจต้องยืนคร่อมตัวสุนัข
โดยให้ทำมือทั้งสองข้างเป็นกระพุ้ง (รูปถ้วย) แล้วเคาะลงไปยังบริเวณช่วงอกที่มีซี่โครงทั้งสองข้างของอกพร้อมกันหรือทำที่ละฝั่งก็ได้ โดยลงน้ำหนักพอสมควรเหมือนเราตีกลอง ในส่วนของจังหวะความถี่ที่เคาะนั่นก็สักประมาณ 1-2 ครั้งต่อวินาที ทำเช่นนี้ต่อเนื่องประมาณ 5-10 นาที หากสุนัขแสดงอาการไอ ก็ให้หยุดพักจนกว่าสุนัขจะไอเสร็จแล้วค่อยทำต่อ เราอาจใช้วิธีการเคาะเป็นวงกลมให้ทั่วซี่โครงช่องปอด หรืออาจเคาะไล่จากส่วนท้ายของซี่โครงขึ้นมาด้านหน้าก็ได้
หลังจากเคาะปอดเสร็จแล้วก็ปล่อยให้น้องหมาเดินเล่น เพื่อให้เกิดการเคลื่อนไหวร่างกาย สุนัขจะได้ไอเพื่อขับเสมหะออกมา เราสามารถทำการเคาะปอดให้น้องหมาได้ทุก ๆ 6-8 ชั่วโมง (วันละ 3-4 ครั้ง) ขึ้นอยู่กับอาการของน้องหมา แต่ห้ามเคาะปอดหลังจากสุนัขกินข้าวอิ้มใหม่ ๆ ให้รออย่างน้อย 1-2 ชั่วโมงหลังจากกินอิ่มแล้วจึงค่อยทำ เพื่อป้องกันความปลอดภัยจากการสำลักอาหาร และต้องระวังในรายที่มีเนื้องอกหรือมะเร็งในปอด
2. การใช้ละอองไอน้ำ (Steam inhalation)
วิธีนี้เป็นการใช้ละอองไอน้ำไปช่วยความชุ่มชื่นให้กับปอด เพื่อให้เสมหะที่จับตัวกันแน่นอ่อนตัวลง จะได้ง่ายในการขับออกมาผ่านการไอ โดยให้สุนัขดมละอองไอน้ำ วิธีการก็คือ ให้เจ้าของพาสุนัขไปอยู่ในห้องน้ำ ปิดห้องน้ำ (ประตูและหน้าต่าง) และปิดพัดลมดูดอากาศ โดยที่เจ้าของต้องอยู่กับสุนัขด้วย เพื่อไม่ให้สุนัขตื่นตกใจ จากนั้นเปิดน้ำอุ่นหรือเปิดน้ำอุ่นจากฝักบัว เพื่อให้เกิดไอน้ำสะสมภายในห้องน้ำ เพื่อให้สุนัขได้สูดดมละอองไอน้ำเป็นเวลา 10-15 นาที เราต้องการให้สุนัขแค่สูดดมละอองไอน้ำเท่านั้น เพื่อไปช่วยให้เสมหะถูกขับออกมาได้ง่าย หลังจากสูดดมไอน้ำเสร็จแล้ว ให้เจ้าของเช็ดละอองน้ำบนตัวสุนัขให้แห้ง แล้วทำการเคาะปอดให้ เพื่อกระตุ้นให้สุนัขไอเพื่อขับเสมหะออกมา
3 การพ่นยา (Nebulization)
เป็นวิธีการใช้เครื่องมือ (เครื่องพ่นยา) เพื่อนำพาของเหลวหรือยาผ่านก๊าซ แล้วให้สุนัขสูดดมเข้าสู่ปอดโดยตรงเลย วิธีนี้เจ้าของอาจต้องพาสุนัขไปพบสัตวแพทย์ เพื่อทำการตรวจวินิจฉัยก่อน เพราะมีความจำเป็นต้องมีการเลือกใช้ยาในการรักษา อุปกรณ์ที่สำคัญ คือ คือเครื่องพ่นยา (nebulizer) ซึ่งมีหลายรูปแบบ ทำให้ได้ขนาดของละลองยาออกมาที่ต่างกันไป แต่ถ้าได้ละอองยาขนาดเล็ก ๆ ก็จะทำให้ยาลงสู่ทางเดินหายใจชั้นลึก ๆ ได้ดีขึ้น ข้อดีของการพ่นยาคือ ยาเข้าสู่เป้าหมายในปอดได้โดยตรง ไม่ผ่านตับ ลดผลข้างเคียงบางอย่างลงได้ โดยเราอาจจะให้สุนัขอยู่ในตู้หรือให้สุนัขดมผ่านหน้ากาก เพื่อให้สุนัขได้สูดดมยาได้อย่างเต็มที่ จะใช้ระยะเวลาในการพ่นยาครั้งละ 15-20 นาที หลังจากพ่นยาเสร็จแล้ว ทำการเช็ดตัวสุนัขให้แห้ง เพื่อป้องกันยาที่อาจตกค้างอยู่บนตัวสุนัข ป้องกันสุนัขเลียและลดการรับยาเข้าสู่ระบบร่างกาย แล้วให้ทำการเคาะปอดให้ เพื่อกระตุ้นให้สุนัขไอขับเสมหะออกมา
4 การป้อนยา (Medicine)
เสมหะของสุนัขนั้นมีความจำเพาะอย่างหนึ่งคือ การยึดเกาะกันที่เหนียวแน่นมากด้วยพันธะ disulfide bonds บางครั้งถ้าใช้ละอองไอน้ำหรือ Saline solution เพียงอย่างดียว อาจไม่สามารถสลายเสมหะได้ เมื่อมีสะสมมากเกาะกันจนไปบดบังทางเดินหายใจ ก็ทำให้หายใจลำบากได้ จำเป็นจะต้องใช้ยาละลายเสมหะเข้าช่วย ซึ่งยาละลายเสมหะที่ใช้ในสุนัขก็มีหลายตัวยาด้วยกัน มีทั้งรูปแบบกินและใช้พ่นยาด้วย ในส่วนของรูปแบบกินนั้นก็มีทั้งยาในรูปแบบเม็ดและแบบน้ำ ซึ่งคุณหมอจะคำนวณขนาดยาตามน้ำหนักตัวของสุนัข ส่วนมากจะแนะนำให้เจ้าของป้อนให้สุนัขวันละ 2-3 ครั้ง นอกจากนี้ยังอาจมียาอื่น ๆ ที่จำเป็นต้องจ่ายให้ด้วยอีก ขึ้นกับสาเหตุที่สุนัขป่วย ดังนั้นก่อนได้รับยาใด ๆ จึงควรต้องพาสุนัขไปตรวจเพื่อวินิจฉัยโรคเสียก่อน ไม่ควรไปซื้อยามาป้อนเอง
อาการไอ ในสุนัขที่ไม่มีอาการป่วยทางร่างกายอื่น ๆ เช่น อาการซึม เบื่ออาหาร อาจดูไม่ร้ายแรง แต่ควรได้รับการตรวจวินิจฉัยโดยสัตวแพทย์ เพื่อให้ได้รับการจัดการที่ถูกต้องเหมาะสม เพื่อลดความรุนแรงของโรค หรือในบางกรณีเช่น การติดพยาธิหนอนหัวใจ หากรักษาตั้งแต่เริ่มแรกจะสามารถทำให้สุนัขหายขาดจากอาการป่วยได้
บทความน่าสนใจ 4 โรคจากสุนัข ที่คุณอาจจะได้รับ
อ้างอิงข้อมูลจาก